Sugar Ray You’ve Just Been Poisoned

ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อ Sugar Ray You’ve Just Been Poisoned เนื่องจากสมัยนั้นบาร์ที่สแตนด์อโลนยังมีไม่มาก แถมตัวเลือกเครื่องดื่มก็ยังไม่หลากหลายเท่าปัจจุบัน การมีบาร์คุณภาพดีๆ ที่ไม่ได้อยู่ในโรงแรมห้าดาวจึงนับเป็นสวรรค์ของนักดื่ม ณ เวลานั้น Sugar Ray วางตัวชัดเจนว่า ‘บาร์ไม่จำเป็นต้องเปิดทุกวัน’ พวกเขาจึงเปิดร้านแค่สัปดาห์ละสามครั้ง ซึ่งในทางธุรกิจมันแทบเป็นไปไม่ได้ที่บาร์แห่งนี้จะทำเงินงอกงาม

 

แต่ Sugar Ray ก็ยังยืดหยัดอยู่ได้แม้ไม่กำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน เหตุเพราะหนึ่งในหุ้นส่วนคนสำคัญอย่างคุณเติร์ก-สิทธานต์ สงวนกุล วางจุดเริ่มต้นของ Sugar Ray ด้วยแพสชันที่มีให้การดื่ม แน่นอนว่าสำหรับลูกค้าแล้ว การที่เจ้าของธุรกิจทำงานด้วยแพสชันย่อมหมายถึงผลกำไร เพราะมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเมื่อเข้าไปใช้บริการ  

 

“ตอนทำ Sugar Ray มันออร์แกนิกมาก ไม่เคยมีประชุม ไม่เคยตั้งเป้ายอดขายหรือลดต้นทุน ผมไม่สนใจกำไรตราบใดที่มันไม่ขาดทุน ผมโฟกัสที่แพสชันอย่างเดียว” คุณเติร์กกล่าว

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลังให้กำเนิดน้องชายและน้องสาวอย่างบาร์ Q&A และ Thaipioka ถึงจุดหนึ่งเขาอยากหันกลับมากรูมมิ่งลูกคนแรกอย่าง Sugar Ray ให้เติบโตไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น เมื่อตัดสินใจแล้ว คุณเติร์กจึงย้ายจากถิ่นฐานเก่าย่านเอกมัยมายังสุขุมวิทซอย 24 พร้อมทีมงานชุดเดิม คอนเซปต์เดิม แต่ขยายเวลาทำการเป็น 6 วันต่อสัปดาห์

 

 

The Vibe

เตือนไว้ก่อนว่าทางเข้าสถานที่แห่งนี้อาจหาไม่ง่ายนัก สามารถเข้าได้สองทางระหว่างทะลุมาจาก OCTO Seafood Bar หรือเข้าทางซอยก่อนถึงร้านอาหารดังกล่าว ให้สังเกตประตูด้านขวามือที่ไม่มีป้ายชื่อร้านใดๆ แต่มีหนุ่มน้อยใส่หมวกยืนต้อนรับอยู่ (ซึ่งไม่รู้ว่าทางร้านจะยกออกไปเมื่อไร)

 

สังเกตประตูทางเข้าซ้ายมือ

 

และเมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านในคุณจะพบกับห้องลับที่เปรียบเสมือนห้องใต้ดินของ Gentlemen’s club โดดเด่นด้วยวิสกี้ จิน และรัมนับร้อยขวด ตั้งเรียงรายอยู่หลังบาร์ ในขณะที่เคาน์เตอร์หินอ่อนสีเข้มยาวจรดผนัง โซฟาหนังสีดำขลับ และผนังปูนเปลือย สะท้อนให้เห็นถึงคาแรกเตอร์ของร้านที่มีความนิ่ง น้อย ทว่าหนักแน่น ไม่ต่างจากซิงเกิลมอลต์ชั้นดีที่ไม่ต้องการสิ่งใดปรุงแต่งเพิ่มเติม ปล่อยให้รสชาติที่บ่มเพาะมาอย่างยาวนาน ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวแทนคำพูดนับล้าน

 

 

นอกจากงานดีไซน์แล้ว ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับระบบเสียง เจ้าของร้านเน้นย้ำว่าที่นี่เพลงต้องดี หากเป็นวันธรรมดาทางร้านจะเปิดแนวแจ๊ซจากแผ่นไวนิล ส่วนวันศุกร์ได้ DJ Jedi มาเปิดแผ่นตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีหนึ่ง ในขณะที่วันเสาร์สนุกกับ old school หรือ japanese soul จาก DJ Toru ที่ขึ้นเล่นเวลาเดียวกัน

 

The Drinks

คุณเติร์กกล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่าเขาอยากให้คนมาที่นี่แล้วรู้สึกผ่อนคลายในฟีลลิ่ง แต่ซีเรียสในแง่โปรดักส์และเครื่องดื่ม ลำพังแค่วิสกี้ที่มีกว่าร้อยขวดก็น่าทึ่งมากพอ เพราะมีทั้งขวดหายาก ขวดที่ไม่คิดว่าบาร์ไหนจะกล้าสต็อก รวมถึงขวดที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าสั่งด้วย (แพงที่สุดตอนนี้อยู่ที่แก้วละ 10,000 บาท) รับรองว่าคอวิสกี้มาแล้วไม่ผิดหวัง

 

ส่วนเมนูค็อกเทลนั้นปรับเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้จำเจ พวกคลาสสิกค็อกเทลอย่าง Negroni, Old Fashioned หรือ Mojito มียืนพื้นอยู่แล้ว ส่วนค็อกเทลโลกใหม่คิดค้นโดยคุณต่อ-วิภพ จินาพันธ์ ผู้ประจำอยู่หลังบาร์ของ Sugar Ray มาตั้งแต่เริ่มต้น

 

คุณต่อ-วิภพ จินาพันธ์

 

วันนั้นเรามีโอกาสได้ลอง Elixir #1 (380 บาท) ดัดแปลงมาจากค็อกเทลคลาสสิกอย่าง Corpse Reviver No.2 ซึ่งเป็นเครื่องดื่มประเภท pick me up แก้แฮง ดื่มแล้วสดชื่น ถึงขั้นมีคนขนานนามว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ช่วยปลุกชีพให้คนตาย หรือไม่ก็แรงขนาดที่คนปกติน็อกได้เลย ในขณะที่ Elixir แปลว่ายาอายุวัฒนะ ช่วยมอบกำลังวังชา นอกจากส่วนผสมอย่าง Bianco vermouth, Absinthe และ Cointreau แล้ว ทางร้านจึงนำจินไปอินฟิวส์กับโสมเกาหลี ก่อนท็อปด้านบนเพื่อเสริมกลิ่นหอม มอบสัมผัสของสมุนไพรชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสของผลไม้เปรี้ยวสดชื่นซับซ้อนกันอยู่ นับเป็นแก้วที่แรง หอม สดชื่น หลากคาแรกเตอร์เอามากๆ   

 

Elixir #1 (380 บาท)

 

แก้วถัดมา East Coast Boulevard (420 บาท) เป็นอีกตัวที่ดัดแปลงจากคลาสสิกค็อกเทลอย่าง Boulevardier คล้ายเนโกรนีที่ผสมจิน คัมปารี และเรดเวอร์มุท แต่เปลี่ยนมาใช้อเมริกันวิสกี้ เบอร์เบิน หรือไรย์วิสกี้ ความพิเศษอยู่ที่คุณต่อต้องการดันให้เหล้ารองอย่างคัมปารีเป็นตัวเอก จึงนำมาอินฟิวส์กับชาเครื่องเทศแถบอินเดียหรือปากีสถาน เช่น ซินนามอน ขิง ฯลฯ แต้มด้วยช็อกโกเลตและเกรปฟรุตบิตเตอร์ เพื่อเสริมมิติให้ค็อกเทลคลาสสิกนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น ไม่ได้มีเพียงรสหวานหรือขมอย่างเดียว เพิ่มความสนุกให้ผู้ดื่มด้วยแรกจิบที่ออกขม แต่เมื่อลิ้มรสที่สองจะได้ความหวานแทรกเข้ามา  

 

East Coast Boulevard (420 บาท)

 

แก้วที่สามในค่ำคืนได้แก่ Un Poco Loco (420 บาท) ที่เป็นภาษาสเปนแปลว่า a little bit crazy สาเหตุที่ทางร้านตั้งชื่อนี้เพราะแก้วนี้เป็นค็อกเทลที่ดื่มง่ายมากแต่มีความแรงในตัว ดื่มแล้วเมาไม่รู้เรื่อง เนื่องจากดีกรีแอลกอฮอล์แรงไม่แพ้ old fashioned ให้สัมผัสคล้ายมาการิต้าโยเกิร์ตมะม่วง แต่เติม amaro ซึ่งเป็นเหล้าอิตาลีที่มีรสชาติขม อมหวาน เผ็ดเครื่องเทศ แก้วนี้จึงหอมนัวดื่มง่าย ลงคอเร็ว เหล้าไม่โดด แต่จับได้ว่าแรงเอาเรื่อง  

 

Un Poco Loco (420 บาท)

 

ใครเป็นแฟนขาประจำ Sugar Ray น่าจะพอจำแก้วนี้กันได้ เพราะได้รับความนิยมถึงขั้นกลับมาอยู่ในเมนูอีกครั้ง Born & Raise (350 บาท) เน้นส่วนผสมที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยและเอเชีย เช่น จินที่นำไปอินฟิวส์กับชาไทย ส้มแมนดาริน น้ำเชื่อมใบเตย และน้ำมะนาว ซึ่งเป็นส่วนผสมเรียบง่ายที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ให้ความรู้สึกถึงชาไทยที่ดื่มแล้วสดชื่น หวานอ่อนๆ หอมกลิ่นกุหลาบมอญ ใครว่าแก้วบนดื่มง่ายแล้ว เจอจินชาไทยแก้วนี้เข้าไปก็ดื่มเพลินหมดแก้วได้เหมือนกัน

 

Born & Raise (350 บาท)

 

หากว่าค็อกเทลในเมนูยังไม่ถูกใจ หรือเดินเข้าร้านแบบไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี แนะนำให้ถามบาร์เทนเดอร์หน้าบาร์ได้เลย เพราะที่นี่สามารถครีเอตรสชาติตามเทสต์ที่คุณชอบ ไม่ว่าจะค็อกเทลเปรี้ยวอมหวาน ขอเข้มๆ ได้รสเหล้า หรือหากมีสูตรประจำตัวก็สามารถบอกทางร้านได้ เพราะคุณต่อกระซิบมาแล้วว่า ขอเพียงให้คุณพอใจ ที่นี่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง  

 

Sugar Ray You’ve Just Been Poisoned  

Open: เปิดทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่ 19.00-02.00 น. ปิดวันจันทร์

Address: 88 สุขุมวิท 24 ด้านใน Octo Seafood Bar

Budget: ราคาเริ่มต้น 330 บาท

 

Contact: โทร. 09 4417 9898  

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก https://thestandard.co/sugarraybkk/

ขอขอบคุณคุณเติร์ก ร้าน sugar ray ที่ไว้ใจใช้ตู้แช่จากทางร้านเดอะ เมเปิ้ลครับ ^_^

Visitors: 120,306